เทคโนโลยีวิเคราะห์ของยูเอฟโอ

บทที่ 11

เทคโนโลยีวิเคราะห์ของยูเอฟโอ




ทางด้านเทคโนโลยีวิเคราะห์ มีนักจานบินวิทยาหลายคนซึ่งล้วนแต่เป็นนักวิชาการเป็นส่วนใหญ่ได้วิเคราะห์เอาไว้ แต่คนที่นับว่ามีชื่อเสียงมากที่สุดก็ได้แก่ ดร.สเตตัน ที.เฟรดแมน (Station T. Friedman)

Station T. Friedman

เฟรดแมนได้วิเคราะห์เรื่องยูเอฟโอในแง่เทคโนโลยี โดยนำเอาเทคโนโลยีชั้นสูงของโลกมนุษย์มาเทียบเคียง และเขาพบว่ามันสามารถไขปัญหาเร้นลับต่างๆของยูเอฟโอได้เกือบหมด ยกเว้นบางเรื่องที่เขาไม่สามารถแก้ปัญหาได้ จึงต้องอาศัยหลักการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใกล้จะเป็นจริงในอนาคตมาช่วยในการวิเคราะห์

นักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์บางคนได้ทำการวิเคราะห์ปัญหายูเอฟโอในแง่เทคโนโลยีเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่จะกระโดดก้าวไปไกลกว่าข้อเท็จจริงที่วิชาการของโลกมนุษย์จะมีให้ จึงทำให้การแก้ปัญหาเรื่องยูเอฟโอไม่มีความหนักแน่นเพียงพอสำหรับวิทยาศาสตร์ทั่วไปในโลกปัจจุบัน แต่ก็ต้องยอมรับว่าบทวิเคราะห์ล้ำยุคเหล่านั้นมิได้เลยเถิดไปนอกลู่นอกทางเกินไปกว่าความเป็นไปได้ ส่วนใหญ่แม้จะล้ำยุคไปบ้างแต่ก็อยู่ในขอบเขตที่วิทยาศาสตร์ในอนาคตอันใกล้กำลังจะก้าวไปถึง ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันและไม่ใช่เรื่องที่เอนเอียงโน้มน้าวไปสู่แนวทางอย่างเรื่องในนวนิยายวิทยาศาสตร์

ความคิดอันล้ำยุคเหล่านั้นล้วนแต่เป็นไปได้ทั้งสิ้น ถ้าจะมีใครลงมือทำมันขึ้นมาจริงๆ... แต่อาจจะเป็นด้วยความขัดสนทางกำลังเงิน กำลังงานเท่านั้น ที่ทำให้มันยังเป็นเพียงความคิดเสนอแนะอยู่ในหน้ากระดาษ... ณ ที่นี้จะขอนำเอาบทวิเคราะห์ของ ดร.เฟรดแมน และนักจานบินวิทยาอีก 2-3 คนมาแสดงให้ดูโดยตัดตอนมาเฉพาะที่เห็นว่าสำคัญเท่่านั้น เพื่อเป็นแนวทางให้นักจานบินนิยมชาวไทยได้เห็นพอเป็นตัวอย่าง

ดร.สเตตัน ที. เฟรดแมน คือผู้เชี่ยวชาญทางด้านนิวเคลียร์ฟิสิกส์คนสำคัญคนหนึ่งของประเทศสหรัฐอเมริกา เขาเป็นสมาชิกของสมาคมวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงถึง 3 แห่ง คือ สมาคมอเมริกันนิวเคลียร์ (American Nuclear Soc.) สมาคมอเมริกันฟิสิกส์ (American Physical Soc.) และสมาคมสถาบันการบินและการบินอวกาศแห่งอเมริกา (American Institute of Aeronautics and Astronautics) เขามีประสบการณ์ 20 ปีอยู่ในโครงการงานวิจัยระบบขับเคลื่อนยานอวกาศพลังงานนิวเคลียร์ของรัฐบาลสหรัฐฯ และในขณะเดียวกัน เฟรดแมนก็ได้ศึกษาเรื่องยูเอฟโอมาหลายสิบปีด้วยความสนใจและความอยากรู้อยากเห็นอันเป็นนิสัยประจำตัวของเขา เฟรดแมนไม่ได้ทำการศึกษาวิเคราะห์อย่างเป็นทางการ แต่เขาทำเป็นงานอดิเรกตามนิสัยคนรักสนุกและรักการสืบค้นหาสิ่งลึกลับ เขาอ่านรายงานยูเอฟโอมากมายและอ่านบทวิเคราะห์ของนักจานบินวิทยาคนอื่นๆ และทุกครั้งที่มีโอกาส เขาจะไปพบปะพูดคุยกับนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำ เจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการพิเศษในด้านต่างๆ เขามักชอบไปพูดจาหว่านล้อมเพื่อซักถามความเห็นในส่วนลึกจากบุคคลเหล่านั้น และในเวลา 10 กว่าปีต่อมา เฟรดแมนก็ลงความเห็นสรุปในความคิดของเขาเองว่า... 

 "จานบินมีจริง และมันเป็นยานบินชนิดหนึ่งที่ไม่ได้มาจากโลกของเรานี้อย่างแน่นอน"... 


ความคิดของเฟรดแมนมิได้ยุติลงเพียงเท่านั้น เขามีความคิดที่ก้าวไกลไปกว่าคนอื่นๆในวงการยูเอฟโอเสียอีก เขาคิดวิเคราะห์พฤติกรรมต่างๆของยานบินลึกลับนี้ออกมาในแง่เทคโนโลยี ในสายตาของนักออกแบบยานอวกาศพลังงานนิวเคลียร์ เขาคิดจะสร้างยานบินอวกาศเลียนแบบจานบินเลยทีเดียว และเขาพบว่า เทคโนโลยีของโลกในปัจจุบันสามารถทำได้ เขากล่าวว่า...

"เรามีเทคโนโลยีที่สูงพอที่จะสร้างยานบิน เลียนแบบจานบินได้ ผมเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้อย่างแน่นอน แต่ผมไม่มีเงิน... ผมไม่มีเวลาจะทำเรื่องนี้เสนอรัฐบาล... ถ้ามีทุนวิจัยเริ่มแรกสัก 100 ล้านดอลล่าร์ ผมจะพิสูจน์ให้ดู"...

อย่างไรก็ตาม เฟรดแมนก็ได้อธิบายการวิเคราะห์ของเขาไว้ในที่ประชุมตามองค์การและสมาคมวิทยาศาสตร์หลายแห่ง 

ดร.เฟรดแมนได้วิเคราะห์เรื่องยูเอฟโอไปคนละแนวกับ ดร.ไฮเนค เขามีแนวโน้มเน้นไปทางด้านเทคโนโลยีซึ่งเป็นแนวที่เขาถนัด เริ่มต้นด้วยการแจกแจงข้อมูล คัดเลือกเฉพาะรายงานจำพวก "ลึกลับ" (Unknowns) ออกมาจากแฟ้มรายงานของทางรัฐบาลสหรัฐฯที่ทำเอาไว้ และจากแหล่งข้อมูลอื่นๆ เช่น จากข้อมูลของสมาคมค้นคว้าจานบินต่างๆ จากบันทึกรายงานยูเอฟโอของรัสเซีย ฝรั่งเศส และอังกฤษ และที่สำคัญ คือจากการสัมภาษณ์บุคคลในระดับการศึกษาชั้นสูง ผู้เชี่ยวชาญ นักบิน มนุษย์อวกาศ นักวิทยาศาสตร์อื่นๆ ซึ่งไม่ยอมเปิดเผยนาม รายงานที่จัดอยู่ในจำพวกลึกลับนี่เองทำให้ ดร.เฟรดแมน รู้สึกฉงนสนใจ เพราะผู้ที่รายงานต่างก็ใช้เวลาในการสังเกตสิ่งประหลาดที่เขาเห็นเป็นเวลานานตั้งแต่ 5 นาที ไปจนถึงครึ่งชั่วโมง แต่ผู้ประสบเหตุการณ์เหล่านั้นยังอธิบายไม่ได้เลยว่า สิ่งที่เขาเห็นนั้นคืออะไร ตรงกันข้ามกับรายงานชนิดอื่นๆ ที่สามารถอธิบายได้ภายหลังการสอบสวนแล้ว รายงานที่อธิบายได้หลังสอบสวนแล้ว จะถูกจัดเป็นจำพวก ไอเอฟโอ (IFO) รายงาน IFO เป็นรายงานที่ผู้ประสบเหตุใช้เวลาในการสังเกตสั้นมาก

 เมื่อพิจารณาดูเนื้อหาของรายงานจำพวกลึกลับโดยละเอียดแล้ว ดร.เฟรดแมนพบว่าสิ่งที่เป็นความลึกลับอธิบายไม่ได้นั้นมีพฤติการณ์ส่อแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า มันไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ แต่มันเกิดขึ้นโดยมีการบังคับควบคุมจากสิ่งที่มีความนึกคิด และพฤติกรรมของมันเป็นไปอย่างมีจุดมุ่งหมาย และมีความหมายทั้งสิ้น ด้วยพฤติกรรมที่ส่อแสดงดังกล่าว ดร.เฟรดแมนจึงเรียกสิ่งนี้ว่า "อีอีเอม" (EEM) ซึ่งเขาย่อมาจากคำว่า Earth Excursion Modules (แปลว่า-ยานบินที่มาลงบนโลกมนุษย์) ดร.เฟรดแมน ให้เหตุผลว่า... เขาเรียกชื่อเลียนแบบคำว่า "เลม" (LEM) ซึ่งย่อมาจาก Lunar Excursion Modules หมายถึงยานอวกาศของสหรัฐอเมริกาที่ใช้ลงจอดบนดวงจันทร์ เหตุที่เขาเรียกว่า อีอีเอ็ม แทนที่จะเรียกว่ายูเอฟโอ ไม่เหมือนกับนักจานบินคนอื่นๆ ก็เพราะเขาเห็นคำว่า UFO เป็นคำที่ให้ความหมายไม่เหมาะสมเพราะ UFO แปลว่าสิ่งบินลึกลับที่อธิบายไม่ได้ ส่วนพวก IFO ก็หมายถึง "สิ่งบินที่อธิบายได้" แต่รายงานจากที่เขาได้วิเคราะห์แล้ว เขาพบกับ "ยานบินที่มาลงบนโลก" จึงตั้งชื่อว่า EEM เพื่อความไม่สับสน นอกจากนี้ เขายังตั้งชื่อมนุษย์ต่างดาวที่ขับยานบินมาลงบนโลกของเราว่า "อีทีไอ" (ETI) ย่อมาจากคำว่า Extraterrestrial Intelligent 

ดร.เฟรดแมน เป็นนักฟิสิกส์ที่ไม่แคร์ต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์หรือเสียงครหานินทา ไม่กังวลในเรื่องชื่อเสียง เกียรติยศเรื่องศักดิ์ศรีของนักฟิสิกส์ เขากล้าออกความเห็นต่างๆได้อย่างเปิดเผย เมื่อมีคนถามเขาว่า..

"คุณมีเหตุผลอย่างไรจึงเชื่อว่ายูเอฟโอเหล่านั้นเป็นยานมาจากนอกโลก"

ดร.เฟรดแมน ตอบทันทีว่า

"เพราะผมเชื่อ เพราะผมศึกษาค้นคว้า และเพราะผมรู้อะไรหลายอย่างที่คุณไม่รู้ แล้วคุณล่ะเชื่อหรือเปล่า.. หรือว่าคุณไม่อยากจะเชื่อ.. คุณศึกษาดูแล้วหรือยัง?"   

ในการประชุมสัมมนาทางวิชาการครั้งที่ 5 มีชื่อว่า ENERGY ที่ลาสเวกัส เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2513 เป็นการประชุมเรื่องพลังงาน โดยนักฟิสิกส์และวิศวกรชั้นนำ และตอนหนึ่ง ดร.เฟรดแมนได้กล่าวความเชื่อส่วนตัวของเขาไว้ในที่ประชุม ซึ่งเป็นข้อสรุปส่วนตัวของเขาว่า

... "อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากเวลา 11 ปี ที่ผมพยายามทำความสะอาดเรื่องยูเอฟโอ โดยการศึกษาข้อมูลรายงานต่างๆ ผมได้ออกไปสอบถามตรวจสอบสมาคมจานบินทุกแห่ง ผมได้ข้อมูลและรายละเอียดอื่นๆที่ไม่เคยมีใครมีมาก่อนเพิ่มมาอีกมาก ผมได้รายชื่อนักวิทยาศาสตร์ นักบิน วิศวกร นักดาราศาสตร์ นักการเมือง และใครต่อใครที่เคยเห็นยูเอฟโอมาแล้วทั้งนั้น และที่ผมรู้จักซึ่งกำลังนั่งฟังผมพูดอยู่ในที่นี้ก็มีหลายคน ผมศึกษาดูแล้ว ผมไปสอบถามคนเหล่านี้ดูแล้ว ในที่สุดผมก็ลงความเห็นว่า ยูเอฟโอ คือ อีอีเอ็ม อย่างไม่ต้องสงสัย"...

และในการประชุมครั้งนั้น ดร.เฟรดแมนได้ให้ข้อคิดเห็นของเขาไว้หลายข้อซึ่งเป็นข้อคิดที่น่าสนใจ เช่น

1) มีรายงานเป็นจำนวนมาก ที่มาจากบุคคลที่เชื่อถือได้ทั้งสิ้น ซึ่งผมเอ่ยชื่อไม่ได้ในที่สาธารณะ คำให้การของเขาเหล่านี้เชื่อถือได้อย่างแน่นอน ถึงแม้จะอยู่ต่อหน้าศาลยุติธรรม ผู้พิพากษาก็ต้องยอมรับและเชื่อถือบุคคลเหล่านี้ พวกนี้เชื่ออย่างเดียวกันกับผล เพราะเขาได้เคยประสบกับมันมาด้วยตนเอง ผมไม่สามารถมองข้ามรายงานเหล่านี้ไปได้

2) ผมได้ศึกษาอย่างละเอียด จากรายงานจำพวกลึกลับ ไม่ใช่เฉพาะรายงานที่ได้มาจากประเทศอเมริกาเท่านั้น แต่จากแหล่งข่าวทั้งโลก มันมีอะไรอย่างหนึ่งตรงกันหมด นั่นคือ สิ่งลึกลับนั้นมีพฤติกรรมแสดงออกอย่างเด่นชัดว่ามันเป็นยานบิน ซึ่งไม่ใช่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่างแน่นอน.. ผมขอเสริมเพื่อความกระจ่างชัดตรงนี้ว่า คำว่า "ลึกลับ" (Unknown) ของผมในที่นี้หมายถึง รายงานการเห็นสิ่งบินที่แสดงพฤติกรรมในรูปแบบที่แปลกออกไปจากธรรมดา และไม่สามารถอธิบายให้เข้ากับอะไรได้เลย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งบินได้ทั้งหลายในโลกนี้ หรือปรากฏการณ์ธรรมชาติใดๆทั้งสิ้น

3) ผมมีประสบการณ์หลายปีกับเรื่องยูเอฟโอ ผมได้สัมผัสกับบุคคลในวงการต่างๆ มีทั้งผู้ที่สนใจและต่อต้านดูถูกเรื่องยูเอฟโอ ผมพบว่า พวกที่ไม่เชื่อเรื่องยูเอฟโอ และพยายามต่อต้าน หัวเราะเยาะเรื่องนี้ คือบุคคลประเภทที่ไม่เคยศึกษารายงานจำพวก "ลึกลับ" อย่างจริงจัง และส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ในทางวิทยาศาสตร์ที่กว้างพอ ผมพบว่านักวิทยาศาสตร์ที่ต่อต้านเรื่องยูเอฟโอ เป็นนักวิทยาศาสตร์หัวเก่าทั้งสิ้น และยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ชอบพูดถึงเรื่องยูเอฟโอ คนกลุ่มนี้ไม่ได้ต่อต้านและไม่ได้สนับสนุน ส่วนใหญ่เป็นนักวิทยาศาสตร์ และนักวิชาการที่มีชื่อเสียง ซึ่งในความจริงแล้ว คนกลุ่มนี้ "กลัว" กลัวถูกหัวเราะเยาะ กลัวเสียชื่อเสียง เพราะเขาไม่กล้าเอาชื่อเสียงและศักดิ์ศรีมาเสี่ยงกับเรื่องลึกลับอย่างเช่น ยูเอฟโอ

4) จากเสียงต่อต้านเรื่องยูเอฟโอ เป็นเสียงต่อต้านในเรื่องรายงานที่ไม่เข้าประเภท Unknown เท่านั้น แต่ไม่เคยมีข้อกล่าวหาต่อต้านที่น่าฟัง หรือดีพอที่จะมาใช้ต่อสู้กับความจริงของยูเอฟโอประเภท Unknown ได้เลย นอกจากคำพูดที่ว่า "Unknown ก็คือ Unknown จะไปศึกษามันให้เสียแรงทำไม" ความจริงแล้วมันตรงกันข้าม Unknown คือตัวสำคัญที่สุด และมันคือหัวใจของรายงานยูเอฟโอทีเดียว... ในการทดลองแยกโปรตอน โดยการยิงโปรตอนเข้าชนเป้า แล้วปล่อยให้สลายตัวในอุโมงค์หมอก เพื่อตรวจร่องรอยการสลายตัว เราพบตัว Unknown มากกว่าที่เราคาดคิดไว้ในทฤษฎีเสียอีก ยังมีอนุภาคอะไรบางอย่างที่สลายออกมา เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร และถ้านักนิวเคลียร์ฟิสิกส์ไม่สนใจตัว Unknown ที่ปรากฏออกมานั้น ป่านนี้เราก็ยังไม่รู้จักคำว่า "นิวทริโน" (Neutrino) กันเลย...

5) ผมแน่ใจว่ายังมีผู้รู้เรื่องยูเอฟโออีกมาก แต่ยังไม่ยอมเปิดเผยตัวออกมา เพราะกลัวพวกที่คอยหัวเราะเยาะ หรือพวกที่คอยตามติดสอบถามแต่ปัญหาข้อข้องใจ บุคคลเหล่านี้ที่ผมรู้จักเป็นส่วนตัวก็มีหลายคน และเขาไม่ต้องการเปิดเผยต่อสาธารณะชนหรือสื่อมวลชน เพราะว่าเขารำคาญ "พวกก่อกวนความสงบ" ที่ชอบฟังคำตอบอย่างเขียนอีกอย่าง

6) ผมรู้จักกับบุคคลชั้นนำของประเทศหลายคน และในวงการต่างๆ เช่น วิศวกร มนุษย์อวกาศ นักบิน นักการเมือง นักดาราศาสตร์ แม้กระทั่งผู้พิพากษา พวกเขาเคยเห็นและยืนยันกับผมว่าเขาเห็นมันและเชื่อว่ามันเป็นยานบินชนิดหนึ่ง

7) ผมได้วิเคราะห์ภาพถ่ายยูเอฟโอมากมาย พบว่ามีหลายร้อยภาพที่เป็นภาพจริง ไม่ใช่ภาพจำแลงทำขึ้นมาหลอกลวงกัน มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า รูปเหล่านั้นเป็นลักษณะของยานบินไม่ใช่ปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างเด็ดขาด ไม่ใช่ภาพลวงตา ไม่ใช่นก ไม่ใช่ดาวหรืออุกกาบาต และที่สำคัญคือมันไม่ใช่ยานบินชนิดใดๆที่มีอยู่บนโลกของเราเลย ...ถ้าอย่างนั้นมันจะมาจากไหนได้ นอกจากโลกอื่น

 8) การพิสูจน์ ใครๆก็ต้องการข้อพิสูจน์ แต่เราจะพิสูจน์กันได้อย่างไร อย่างไรจึงจะเรียกว่าพิสูจน์ ต้องการหลักฐานอะไรจึงจะพอใจ หลักฐานมากแค่ไหนจึงจะยอมรับ ในเรื่องการพิสูจน์นี้ ผมว่าเราจะใช้อารมณ์ ความคิดเห็น ความพอใจ แม้แต่หลักการทางวิทยาศาสตร์ก็ยังทำไม่ได้ เพราะไม่ว่านักวิทยาศาสตร์หรือใครก็ตามที่ต้องการหลักฐานของจริง ซึ่งหมายถึง "จับจานบินลงมาดูกันตรงหน้า" มันเป็นความต้องการที่เป็นไปไม่ได้ เราไม่ได้เล่นอยู่กับก้อนอิฐก้อนหินที่ไม่มีชีวิตจิตใจ เราไม่ได้เล่นอยู่กับสัตว์เดียรัจฉาน เช่นวัวเช่นควายที่จับมาดูได้ง่ายๆ แต่เรากำลังเผชิญอยู่กับสิ่งมีชีวิตระดับสูงที่มีภูมิปัญญาเหนือกว่าเราจนอาจเทียบกันไม่ติด แทนที่เราจะจับเขามาดู ผมว่าความจริงมันจะตรงกันข้าม ถ้าใครยังหวังข้อพิสูจน์แบบนี้อยู่ คนผู้นั้นก็คือคนที่ยังด้อยความคิดอยู่มาก ยังไม่รู้ตัวว่าเขากำลังเผชิญอยู่กับอะไร โอกาสเดียวที่เป็นไปได้ก็คือรอ... จนกว่ามนุษย์ต่างดาวจะลงมาด้วยใจสมัครเท่านั้นเอง

ถ้านักวิทยาศาสตร์ต้องการข้อพิสูจน์ที่แท้จริง โดยเป็นหลักฐานของจริงอย่างที่กล่าวมานี้ เราก็ต้องรอกันเท่านั้นเอง ซึ่งผมคิดว่านั่นคือการกระทำของคนโง่มากกว่า สิ่งที่เราจะทำได้โดยไม่ต้องรอยังมีอีกมากมาย ขั้นแรกเราจะต้องไม่เลือกเอาหลักฐานที่เป็นตัวจริงของจานบินมาเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่เราจะต้องยอมรับหลักฐานอื่นๆ เช่น ความจริงของรายงานยูเอฟโอ หลักฐานภาพถ่ายจริงของยูเอฟโอ หลักฐานทางเรดาร์ หลักฐานทางกายภาพจากร่องรอยต่างๆที่ยูเอฟโอทิ้งเอาไว้ เท่านี้ก็เป็นการเพียงพอแล้ว และโดยความเป็นจริง หลักฐานที่ผมกล่าวมานั้นเราก็มีอยู่เต็มมือ สิ่งที่เราต้องทำคือลงมือศึกษาคัดเลือกและวิเคราะห์เท่านั้นเอง

9) ความเห็นข้อสุดท้ายนี้ผมขอสรุปว่า ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะต้องหันมาศึกษาเรื่องยูเอฟโออย่างจริงจัง อย่างนักวิทยาศาสตร์ อย่างมีเหตุมีผลกันเสียที ความคิดอคติ ความคิดทางแง่ลบ ความกลัวในชื่อเสียง ความอับอายกับเสียงหัวเราะ สลัดทิ้งซึ่งความหยิ่งผยองในเกียรติยศและศักดิ์ศรี เพราะถ้าพวกเรายังหวงแหน ยึดถือสิ่งเหล่านี้ไว้ตอนอีก 20 หรือ 30 ปีข้างหน้าในชั่วชีวิตของท่านนี้ เมื่อยูเอฟโอเผยตัวจริงออกมา พวกเราจะไม่เหลืออะไรเลยแม้แต่ความเป็นนักวิทยาศาสตร์ ที่ผมกล่าวมานี้ขอให้ท่านจงใคร่ครวญดูให้ดีด้วยความคิดในแง่บวก แล้วตัดสินใจเสียใหม่..."

จากหนังสือ จานบินวิเคราะห์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิทยาศาสตร์ล้ำยุค

วงศ์วานแห่งเอกภพ

เมื่อจานบินมีจริง